วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

ความเห็นของคนญี่ปุ่นหลังจบเกมส์รอบชิงวอลเลย์บอลเอเชีย







前日の準決勝。日本は韓国に勝ち、決勝進出。

รอบรองวันก่อน ญี่ปุ่นเพิ่งชนะเกาหลีมา

一方のタイは、なんと中国に大接戦の末、勝ってしまった。
ทางด้านไทยเองก็สู้กับจีนอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน จนชนะมาได้

今のタイは本当に強いよ。
บอกตรงๆเลยว่าไทยแข็งแกร่งของจริง

何年も同じメンバーで戦ってるから、チームワークが抜群。
ไทยเป็นทีมที่เล่นด้วยกันมาหลายปี มีทีมเวิร์คที่ดีมาก

知ってるでしょうが、昨年のオリンピック最終予選。
คงจะจำกันได้สินะ เมื่อคราวคัดเลือกโอลิมปิกที่ปีแล้ว

日本は最後、八百長みたいな試合をしてセルビアに負け、結果、そのあおりをくってタイはオリンピック出場を逃した。
ที่ญี่ปุ่นแพ้เซอร์เบียเพื่อจะได้หนีสายแข็งในโอลิมปิก

当時、タイ人の怒りはすごかったですよ。
ตอนนั้นคนไทยก็คงโกรธมากเลยล่ะ

その怨念が今日の試合に凝縮されてる感じ。
สำหรับความรู้สึกเสียใจในคราวนั้น ได้ถูกอัดอั้นมาจนถึงการแข่งในวันนี้

今やってる試合は、まさに一方的な試合展開。
การแข่งวันนี้รู้สึกเหมือนกับการแข่งปิดประตูแพ้

オヌマーが打ちまくる、打ちまくる。
อรอุมาก็ตบเอาตบเอา

日本は江畑を3セット目まで出さないし、あまり勝つ気もない感じ
แถมญี่ปุ่นก็ไม่ยอมส่งอิบาตะลงมาเล่นเลย จนเลยมาถึงเซ็ตที่ 3 ไม่อยากจะได้แชมป์กันหรือไง

わざと負けてるような気も?
รู้สึกว่าถอดใจยอมแพ้กันแล้วใช่มั้ย

というわけで、あっという間に試合が終わりました。
ก็นั่นแหละ การแข่งขันถึงได้จบอย่างรวดเร็ว

3-0、タイの圧勝!
ไทยชนะอย่างสุดยอด 3 -0

タイの強さはアタッカーもそうだけど、とにかくセッターのうまさだな。
ไม่ใช่แค่ตัวตบของไทยนะที่เก่ง ตัวเซ็ทไทยนี่แหละของจริง

世界一じゃない?
มือหนึ่งของโลกไม่ใช่หรอ

วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556

ดินแดนซากุระมีชีวิตอีกครั้งกับโอลิมปิกที่ญี่ปุ่น 2020

โอลิมปิกญี่ปุ่น 2020






     หลังจากที่ IOC-คณะกรรมการโอลิมปิกสากล ประกาศผลให้ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เป็นเจ้าภาพ


จัดการแข่งกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2020 ต่อจากนครริโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล  โดยกรุงโตเกียว 

ชนะ กรุงอิสตันบูล เมืองหลวงตุรกีไปอย่างขาดลอย 60-35 คะแนน ทิ้งห่าง กรุงมาดริด เมืองหลวง

สเปน ซึ่งได้เพียง 26 คะแนน ในรอบสุดท้ายของการชิงชัย

      ซึ่งการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน กีฬาโอลิมปิกครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 2 แล้วของญี่ปุ่น ก่อนหน้านี้ 

ญี่ปุ่นได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิกในปี 1964 

       หลายคนอาจคิดว่า ทำไมต้องแย่งกันเป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิก แล้วทำไมญี่ปุ่นถึงดีใจขนาดนั้น 

ทั้งที่การเป็นเจ้าภาพจัดงานนั้น ต้องเสียงบประมาณอย่างมหาสาร ในอีกมุมหนึง การได้เป็นเจ้าภาพจัด

งานโอลิมปิก ถือเป็นคุณค่าทางจิตใจของคนญี่ปุ่นอย่างมาก เป็นการแสดงศักยภาพของประเทศ 

และความพร้อมทางด้านต่างๆ และยังได้โปรโมทการท่องเที่ยวของประเทศ คาดการ์ณว่าจะมีคนแห่ไป

เที่ยวญี่ปุ่นกันมากทีเดียว ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของญี่ปุ่นอย่างดี ได้คุ้มเสีย

  


วีดีโอ Presentation  TOKYO 2020






    อยากให้ประเทศไทยของเรามีโอกาสเป็นเจ้าภาพกับเค้าบ้างจัง แต่ท่าจะยาก อย่างแรกที่ต้องทำให้

ได้ก่อนเลย คือ เลิกทะเลาะกัน 55  เอาเงินภาษีของประชาชนทำอะไรเพื่อประชาชนมากกว่าเอาไปหมก

เม็ด เมื่อนั้นเราอาจจะมีลุ้นเหมือนญี่ปุ่นบ้างก็ได้นะ

วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

ทำ Passport ต้องเตรียมอะไรไปบ้าง

ทำ Passport ต้องเตรียมอะไรไปบ้าง



      สำหรับหนังสือเดินทางหรือ passport เป็นเอกสารสำคัญสำหรับบุคคลที่จะเดินทางไปต่างประเทศโดยในหนังสือเดินทางจะมีการระบุข้อมูลเพื่ออำนวยความสะดวกและใช้เป็นหลักฐานในการเดินทางข้ามประเทศ หรือ ขอ VISA



หนังสือเดินทางนั้นมีทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่ 




          หนังสือเดินทางฑูต (Diplomatic) เป็นหนังสือเดินทางสำหรับนักการทูต และข้าราชการการเมือง เพื่อใช้เดินทางไปราชการต่างประเทศเท่านั้น มีสีแดงสด 

          หนังสือเดินทางราชการ (Official Passport) เป็นหนังสือเดินทางสำหรับข้าราชการ สำหรับเดินทางไปราชการนั้น ๆ เป็นเล่มสีน้ำเงิน 

          หนังสือเดินทางยกเว้นค่าธรรมเนียม (Gratis) เป็นหนังสือเดินทางสำหรับข้าราชการเกษียณอายุ, พนักงานของรัฐและข้าราชการที่จะเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศโดยทุนส่วนตัวหรือไปฝึกอบรมในหลักสูตรต่างๆ จะป็นเล่มสีน้ำตาล 

          หนังสือเดินทาง (Passport) เป็นหนังสือเดินทางสำหรับประชาชนทั่วไป หรือข้าราชการ และพนักงานของรัฐก็สามารถใช้ในกรณีที่เดินทางไปต่างประเทศด้วยกิจธุระส่วนตัวตัวเล่มจะใช้สีเลือดหมู 




เอกสารที่ต้องใช้ในการทำ Passport 

         สำหรับการขอทำหนังสือเดินทางสำหรับประชาชนทั่วไป ที่อายุเกิน 20 ปีขึ้นไปแล้ว จะต้องเตรียมเอกสารเพื่อยื่นขอทำหนังสือเดินทาง ดังนี้
  • บัตรประจำตัวประชาชนที่ยังมีอายุใช้งาน
  • หากมีรายการแก้ไขชื่อสกุล หรือวันเดือนปีเกิด ฯลฯ ซึ่งไม่ตรงกับบัตรประชาชนให้นำหลักฐานการแก้ไขที่เกี่ยวข้องมาแสดงด้วย เช่น หลักฐานการเปลี่ยนชื่อ
ค่าธรรมเนียม 1,000 บาท 
กรณีผู้ยื่นคำร้องฯ เป็นพระภิกษุ

• สำเนามติมหาเถระสมาคมอนุมัติการออกหนังสือเดินทาง ซึ่งระบุชื่อ ฉายา และนามสกุล

• หนังสือเดินทางปัจจุบัน ( สำเนา 1 ชุด)

• ใบสุทธิพระภิกษุ ( สำเนา 1 ชุด )

• ทะเบียนบ้าน/วัด ( สำเนา 1 ชุด )



ขั้นตอนการขอหนังสือเดินทาง

          ขั้นตอนแรก รับบัตรคิว

          ขั้นตอน 2.ยื่นบัตรประจำตัวประชาชน

          
ขั้นตอน 3.เข้าสู่ขั้นตอนการเก็บข้อมูลส่วนตัว จะมีการวัดส่วนสูงเก็บลายพิมพ์นิ้วมือถ่ายรูปใบหน้า

           
ขั้นตอน 4.แจ้งความประสงค์ว่าจะมารับหนังสือเดินทางด้วยตัวเอง หรือต้องการขอรับเล่มทางไปรษณีย์

           
ขั้นตอนสุดท้าย  ชำระค่าธรรมเนียมการทำหนังสือเดินทาง 1,000 บาทหากต้องการให้จัดส่งทางไปรษณีย์ จะต้องชำระค่าส่งไปรษณีย์ เพิ่มเติมอีก 35บาท จากนั้นรับใบเสร็จรับเงิน และรับใบนัดรับเล่ม    



      ปัจจุบัน ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2548 เป็นต้นมา ทางกรมกงสุล กระทรวงต่างประเทศได้เปลี่ยน

หนังสือเดินทางธรรมดาเป็น "หนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์" หรือ "E-passport"แล้ว ซึ่งเป็น

หนังสือเดินทางที่มีคุณลักษณะเฉพาะทางเทคนิคตามข้อกำหนดขององค์การการบินพลเรือนระหว่าง

ประเทศ (ICAO)ซึ่งแตกต่างจากหนังสือเดินทางแบบเดิม คือ มีการบันทึกข้อมูลชีวภาพ (biometric 

data)  ได้แก่ รูปใบหน้า และ/หรือลายนิ้วมือ และ/หรือ ม่านตา ไว้ใน Contactless Integrated 

Circuitซึ่งฝังอยู่ในเล่มหนังสือเดินทาง

ข้อดี

    ของการเปลี่ยนมาเป็น E-passport คือ มีการเข้ารหัสข้อมูล เพื่อการตรวจสอบความถูกต้องแท้จริงของหน้งสือเดินทาง

สามารถป้องกันการปลอมแปลงได้สูง 

- สามารถตรวจสอบเพื่อพิสูจน์ตัวบุคคลได้แม่นยำและรวดเร็ว  อำนวยความสะดวกต่อการเดินทาง  การเข้าเมือง และส่งเสริมการท่องเที่ยว 

- เสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศ ทำให้หนังสือเดินทางไทยมีความน่าเชื่อถือและได้รับการยอมรับในระดับสากลยิ่งขึ้นส่งผลต่อเนื่องทางบวกด้านเศรษฐกิจการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยวของประเทศ




สุขภาพผิวดีได้ง่ายๆ


สุขภาพผิวดี


1.กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ

     เพราะอาหารเป็นสิ่งสำคัญต่อผิวมากกว่าเครื่องสำอางใดๆ ดังนั้นเราจึงควรเลือกอาหารที่จะช่วยดูแลสุขภาพผิวพรรณอย่างถูกต้อง เช่น 
    - อาหารอุดมวิตามินเอ เช่น นมสด ผลิตภัณฑ์จากนม ตับ ฟักทอง แครอท ผักบุ้ง ตำลึง อาหารพวกนี้นอกจากจะช่วยทำให้ผิวสวยแล้ว ยังช่วยซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อในร่างกายอีกด้วย
    • - อาหารอุดมด้วยวิตามินบี เช่น เนื้อปลา เป็ด ไก่ ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ

    • - อาหารอุดมด้วยวิตามินซี เช่น ผักผลไม้ทั้งหลาย
      วิตามินซีในผักผลไม้จะช่วยทำให้ผิวหนังยืดหยุ่น กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

    • - อาหารอุดมด้วยวิตามินอี เช่น จมูกข้าวสาลี ธัญพืชต่างๆ
    •  วิตามินอีจะช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน ป้องกันแผลเป็น
    •  น้ำมันปลา ซึ่งมีกรดไขมันโอเมกา-3 จะช่วยฟื้นฟูผิวให้ดูมีสุขภาพดี

    • - และที่สำคัญดื่มน้ำให้ได้วันละ 2 ลิตร หรือ 6-8 แก้วต่อวัน เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว 

      2.ทำอารมณ์ให้แจ่มใสอยู่เสมอ

            อารมณ์มีผลโดยอ้อมกับผิวพรรณ แต่ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ เพราะถ้าอารมณ์หงุดหงิด โกรธง่ายจะทำให้ระบบการไหลเวียนเลือดไม่ดี ท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ไม่อยากอาหาร ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ จึงส่งผลให้สุขภาพผิวแย่ไปด้วย  
          การทำหน้าบูด หงิกงอ ก็มีผลต่อริ้วรอยบนใบหน้าด้วยน้า  เป็นคนชอบเล่นหูเล่นตา ทำหน้าแปลกๆเช่นกัน มันเริ่มมาละนะรอยรถไถ่เนี่ย 


      3.พักผ่อนให้เพียงพอ

               การพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยทำให้ใบหน้าดูสดใสเต่งตึง 
      เนื่องจากผิวได้รับการซ่อมแซมในระหว่างหลับอย่างเต็มที่ 
      การพักผ่อนในที่นี้ยังรวมถึงการผ่อนคลายในรูปแบบต่างๆ ด้วย 
      เช่น การเล่นโยคะ บริหาร่างกาย นั่งสมาธิ อ่านหนังสือ เป็นต้น

        


      4.ออกกำลังกาย

             การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะช่วยให้โลหิตนำพาออกซิเจนไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยขับถ่ายพิษหรือของเสียออกจากร่างกายทางเหงื่อได้ ผิวพรรณจึงดูสดใส เปล่งปลั่ง และมีเลือดฝาด
          โดยเฉพาะการออกกำลังกายยามเช้าที่ช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า  เป็นการเตรียมความพร้อมในการออกไปปฎิบัติภารกิจ หรือกิจกรรมประจำวัน
       


      5.ดูแลความสะอาดของผิวพรรณ

            เป็นวิธีช่วยเพิ่มเสน่ห์ของผิวพรรณได้อีกทางหนึ่ง เพราะจะทำให้ผิวสดชื่นปลอดจากเชื้อโรคหรือเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคผิวหนัง การอาบน้ำอุ่นอุณหภูมิพอเหมาะ (ประมาณ 38 องศาเซลเซียส) จะช่วยทำความสะอาดผิวหนังได้ดีมาก และยังกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด แต่หากอาบน้ำอุ่นจัดเป็นเวลานานเกินไปอาจทำให้อ่อนเพลียได้ง่าย สำหรับสบู่ที่ใช้ทำความสะอาดผิวควรมีค่า pH5 หรือน้อยกว่านั้นและควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำชนิดโฟม เพราะทั้งสบู่ที่มีฤทธิ์แรงและโฟมจะทำลายไขมันตามธรรมชาติที่เคลือบอยู่บนผิว การเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวก็เป็นอีกสิ่งที่ควรคำนึง  และหลังอาบน้ำควรทาครีมบำรุงผิวให้ทั่วตัว เพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว 


        ที่มา www.unigang.com


        วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

        บล๊อกซีเมนต์ธรรมชาติ

        บล๊อกซีเมนต์ธรรมมชาติ  

                        เป็นอีกหหนึ่งนวัตกรรมที่คิดค้นขึ้นจากกาบมะพร้าว + ซีเมนต์




        เส้นใยมะพร้าว



               จากกาบมะพร้าวที่ดูเหมือนไร้ค่า ผ่านกระบวนจนได้มาเป็นใยมะพร้าวเมื่อบวกกับวิทยาศาสตร์เกิด

        มาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่  ที่มีคุณสมบัติเด่นของบล็อกเส้นใยซีเมนต์จากเส้นใยมะพร้าวคือ ต้านทานการนำ

        ความร้อนเข้าในบ้าน หน่วงเพื่อให้ความร้อนส่งผ่านทางด้านผนังได้ช้าลง ทำให้อุณหภูมิภายในบ้าน

        หรืออาคารลดลง และมีน้ำหนักเบาเมื่อเทียบกับวัสดุผนังบ้านที่ใช้ทั่วไปในท้องตลาด



             บล็อกเส้นใยซีเมนต์จากเส้นใยมะพร้าว เป็นบล็อกที่ทำมาจากเส้นใยจากธรรมชาติผสมกับซีเมนต์  
        แล้วนำมาขึ้นรูปและด้วยเทคโนโลยีนี้จึงสามารถสร้างผนังเส้นใยซีเมนต์ และหลังคาแผ่นเส้นใยซีเมนต์ 
        ซึ่งมีค่าการนำความร้อนต่ำ ทำหน้าที่เหมือนเป็นฉนวนกันความร้อน ป้องกันและหน่วงความร้อนให้ผ่าน
        เข้าในบ้านได้น้อยลงเมื่อเปรียบเทียบกับวัสดุที่ใช้ทั่วไปในท้องตลาด

              หลายๆคนพออ่านมาถึงตอนนี้ คงมีคำถามอยู่ในใจว่าแล้วเอ๊ะ จะทนรึป่าว มาตราเหมือนกับบล๊อกซี
        เมนต์หรือไม บอกเลย!ด้วยคุณสมบัติทางกลและทางกายภาพก็ยังอยู่ในมาตรฐานเส้นใยซีเมนต์แผ่น
        เรียบ เพื่อใช้กับงานก่อสร้างผนังและหลังคา สามารถนำไปก่อสร้างได้

            ผู้สำหรับผู้สนใจ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายการตลาดสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์
        และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) โทร.0-2577-9000 ต่อ 9436-8 อีเมล: tistr@tistr.or.th


        cr. เดลินิวส์

        วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

        ลดความอ้วนฉบับสมเด็จพระเทพ และเคล็ดลับในการลดน้ำหนัก





        ลดความอ้วนฉบับสมเด็จพระเทพ และเคล็ดลับในการลดน้ำหนัก

          เชื่อเลยว่า ไม่ใช่แต่สาวๆที่ต้องการหุ่นดี แต่หนุ่มๆก็เช่นกัน  หลายคนมองหาวิธีลดน้ำหนักทางลัด

        มากมาย บางวิธีก็ไม่คำนึงถึงสุขภาพ  บางคนใช้ยาลดน้ำหนักหวังว่าตนจะมีหุ่นที่เช้งกระเด๊ะทันตา

        เห็น พอเลิกทาน น้ำหนักก็พุ่งพวดอย่างกะทันหัน ละลดยากกว่าเดิมอีกด้วย  บางคนก็ใช้วิธีอดอาหาร แต่

        ผลที่ตามมาคือโรคกระเพาะ  
           เอ๊ะ! ทำไมการลดความอ้วนปัญหามันเยอะขนาดนี้นะ

        วันนี้เลยมีวิธีลดน้ำหนักอย่างปลอดภัยและไม่ต้องอดอาหารมานำเสนอ

        สูตร 1 อาทิตย์ สามารถลดน้ำหนักได้ 5-9 กิโล  Wow !!!  น่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ

        สำหรับใครที่สนใจก็ลองเอาไปทำดูได้ เป็นสูตรลดน้ำหนักของสมเด็จพระเทพ




         เคล็ดลับในการลดน้ำหนัก 

        ก็ไม่มีอะไรมาก แค่มีวินัยในการกิน บวกการออกกำลังการอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น 



        ประสบการณ์อ้วน 

           ในตอนแรก ต้องบอกเลยว่าเคยอ้วน โอ้ยตัวจะแตกแล้ว ไอ้เราว่าเราอ้วน เพราะกางเกงยีนส์เริ่มใส่ไม่

        ได้ แต่พ่อแม่บอกว่า กำลังดี (กำลังดีอะไรละ จะได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ยกเซ็ตเนี่ย 5555) 

        แต่เข้าใจพ่อแม่เนอะ เค้าอยากมีลูกอ้วนๆน่ารักๆ 55 หนูเป็นสาวแล้วนะคะ ให้หนูสวยกะเค้าบ้าง ><


             เอาล่ะมีแรงบันดาลใจละ ฉันต้องสวย !!! พอเรามีแรงบันดาลใจที่จะลดน้ำหนัก แต่เราไม่ได้ทำตาม

        สูตรนะ เพราะว่าค่อนข้างลำบากในการหาอาหารรับประทาน แต่เพื่อนที่เคยทำตามสูตรเค้าก็ลดได้จริง 

        อันนี้มาเล่าประสบการณ์ตรง ที่นี้หากินยากใช้มั้ย เลยคิดขึ้นมาเองว่าทำไงดี จากที่ได้รวบรวมข้อมูลมา

        มากพอสมควร สิ่งแรกที่เราทำคือ งดของหวาน น้ำผสมน้ำตาลทุกชนิด บอกเลยว่าเป็นคนชอบกิน ชา

        เขียวน้ำผึ้ง น้ำปั่นใส่นมข้นหวานๆ อันนี้ชอบมาก ทำให้อ้วนง่าย  และยังชอบกินขนมแทนข้าวอีกด้วย  

        อ้วนไปใหญ่ เพราะในขนมที่เราทาน มีโซเดียม กินมากๆสะสมในร่างกาย และทำให้อ้วนง่ายด้วย

        นอกจากงดของหวานแล้ว ต้องงดขนมคบเคี้ยวทุกชนิด ของทอกน้ำอัดลม 

         แต่ขอบอกว่าไม่งดอาหารนะจ่ะ เราทานข้าวทุกมื้อตามปกติ ส่วนอาหารเย็นอาจจะทานน้อยกว่านิด

        หน่อย  และออกกำลังกายทุกเย็น วิ่ง

        บ้าง เดินบ้าง เล่นโยคะนี้นำให้ตัวกระชับมากขอบอก  ทำไปสักระยะ เฮ้ย !!!!  ลดจริงทำได้จริง กรี๊ดอะ

        แต่ถ้าลดแรกๆจะหวิวมากๆ  ยังออกกำลังกายหนักๆไม่ได้ เพราะไม่มีแรงจะออก ขาดน้ำตาล 555

        พอไม่ออกกำลังกาย เริ่มยั้ว ต้องออกกำลังกายเฟื่อให้มันกระชับ สรุปน้ำหนักที่ลดได้ตอนนี้คือ 8 กิโล

        ถ้วนคะ  ถือว่าเลิศมาก

              สิ่งที่ได้จากการลดน้ำหนักครั้งนี้คือ วินัยล้วนๆ  จากนั้นก็เป็นกำลังใจให้คนที่ลดน้ำหนักมาตลอด 

        และก็อยากเป็นกำลังใจให้เพื่อนๆที่กำลังลดน้ำหนักอยู่ด้วยนะจ่ะ วินัย วินัย วินัย ท่องไว้  จงหนักแน่นให้

        ถึงที่สุด เพื่อเป้าหมายของเราคะ






        ทฤษฏีความต้องการของมาสโลว์ ( Maslow is Theory of Need Gratification)


        ทฤษฏีความต้องการของมาสโลว์ ( Maslow is Theory of Need Gratification) 




           1. ความต้องการด้านร่างกาย (physiological needs) เป็นความต้องการขั้นพื้นฐาน ได้แก่ ความ

        ต้องการอาหาร น้ำดื่ม อากาศ การพักผ่อน ความต้องการทางเพศ ความต้องการความอบอุ่น ต้องการ

        ขจัดความเจ็บป่วย




            2.ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย (safety needs) เมื่อได้รับความพึงพอใจทางด้านร่างกาย

        แล้ว มนุษย์จะพัฒนาไปสู่ขั้นที่สองคือ ความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย สิ่งที่แสดงถึงความต้องการขั้นนี้ คือ 

        การที่มนุษย์ชอบอยู่อย่างสงบ มีระเบียบวินัย ไม่รุกรานผู้อื่น ความต้องการระดับนี้อาจแยกย่อยได้ดังนี้

        - ความมั่นคงในครอบครัว การมีบ้านแข็งแรงปลอดภัย มีความรักใคร่ปรองดองกันในครอบครัว

        - ความมั่นคงปลอดภัยในอาชีพ มีรายได้ยุติธรรม ไม่ถูกไล่ออก งานไม่เสี่ยงอันตราย ผู้บังคับบัญชาดีมีความยุติธรรม

        - มีหลักประกันชีวิต เช่น มีผู้ดูแลเอาใจใส่ยามชรา


              3.ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ (belongingness and love need)

        - ความต้องการมีเพื่อน

        ความต้องการการยอมรับจากกลุ่

        ต้องการแสดงความคิดเห็นในกลุ่ม

        ต้องการรักคนอื่นและได้รับความรักจากคนอื่น

        ต้องการความรู้สึกว่าสังคมเป็นของตน


             4.ความต้องการเกียรติยศชื่อเสียง และความภาคภูมิใจ ได้แก่

        - ต้องการยอมรับความคิดเห็นหรือข้อเสนอ

        - ต้องการเกียรติยศชื่อเสียงจากสังคม

        - ต้องการนับถือตนเอง มีความมั่นใจตนเอง ไม่ต้องพึ่งผู้อื่น

        - ต้องการได้รับการยกย่องนับถือจากผู้อื่น

        - ต้องการความมั่นใจในตนเอง และรู้สึกตนเองมีคุณค่า

             


             5.ความต้องการตระหนักในตนเอง ได้แก่

        - ต้องการรู้จักตนเอง ยอมรับตนเอง เปิดใจรับฟังคำวิจารณ์โดยไม่โกร

        - ต้องการรู้จักแก้ไขตนเองในส่วนที่ยังบกพร่อง

        - ต้องการพัฒนาตนเอง พร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นเกี่ยวกับตนเอง

        - ต้องการค้นพบความจริง พร้อมที่จะเปิดเผยตนเองโดยไม่มีการปกป้อง

        - ต้องการเป็นตัวของตัวเอง ประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง



        วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

        iPhone 5c








                            เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วกับ iPhone 5C สมาร์ทโฟนราคาย่อมเยาตัวแรกจากรั้ว
        แอปเปิลที่เผยโฉมมาก่อนใครในงานเปิดตัว iPhone วันนี้ตัวเครื่องของ iPhone 5C ทำมาจากพลาสติก
        ทั้งชิ้น ไม่มีให้เห็นรอยต่อไม่ว่าจะเป็นมุมใดก็ตาม ตัวเครื่องออกแบบมาโค้งมนตัดกับ iPhone 5 ที่เน้น
        ไปแนวเหลี่ยมๆ เสียมาก สเปคโดยสรุปมีดังนี้ครับ
        • หน้าจอขนาด 4" ความละเอียด 1136 x 640 พิกเซล
        • ซีพียู Apple A6 ดูอัลคอร์
        • กล้องหลัง iSight ความละเอียด 8 เมกะพิกเซลพร้อมแฟลช LED, กล้องหน้า FaceTime HD
        • รองรับ LTE, Wi-Fi Dual Band และ Bluetooth 4.0 LE


                     iPhone 5C มีทั้งหมด 5 สีตามได้แก่สีขาว เขียว ฟ้า ชมพู และเหลือง มาพร้อมกับอุปกรณ์เสริม
        เคสยางซิลิโคนหลากสีที่ผู้ใช้สามารถเลือกมาแต่งให้เข้ากับสีตัวเครื่องได้ (เคสจะมีช่องกลมว่างๆ ด้าน
        หลังโชว์สีตัวเครื่อง) เปิดราคาเริ่มต้นที่ 99 เหรียญสำหรับรุ่นความจุ 16GB และ 199 เหรียญสำหรับรุ่น
        ความจุ 32GB แน่นอนว่าคิดสัญญาสองปี ส่วนเคสขายแยก 29 เหรียญครับ เปิดให้จอง 13 กันยายนนี้ 
        เริ่มขายรอบแรก 9 ประเทศ 20 กันยายนครับ







        และในส่วนของ iPhone 5 ได้เลิกขายไปเลย ทั้งนี้ไม่รู้ว่าเหตุผลใดนะจ๊ะ ที่ทำให้เฮียแอปเค้าเลิกขาย

        และเปิดตัว iphone 5s ด้วยรูปลักษณ์ที่ไม่ต่างจากเดิมนัก แต่มีลักษณะพิเศษที่เพิ่มมาอย่างสีทอง ถูกใจกันไป






        ที่มา - Apple

        4 ประเทศที่ยังคงใส่เครื่องแบบไปเรียนมหาวิทยาลัย

               




         จากผลสำรวจเรื่องของการใส่เครื่องแบบของทั่วโลก สรุปมาเป็นภาพข้างต้น

        จากภาพ
         
        พื้นที่สีเขียว ไม่มีการบังคับให้ใส่เครื่องแบบตั้งแต่เริ่มเข้าเรียน
         

                   มี 8 ประเทศ   ได้แก่
                                            




        พื้นที่สีส้ม  มีการบังคับใช้เครื่องแบบ ช่วงประถม และ มธัยมศึกษา

           33 ประเทศ   ได้แก่  
                                            



        และ
        พื้นที่สีแดง มีการบังคับใช้เครื่องแบบจนถึงระดับอุดมศึกษา

              หนึ่งในนั้นคือ  Thailand ของเรานั้นเอง และอีก 3 ประเทศ ได้แก่  
        Cambodia    Laos  Vietnam

        การที่ประเทศไทยมีวัฒนธรรมสวมเครื่องแบบ อาจจะเป็นเรื่องที่ล้าสมัยสำหรับหลายๆคน

             ในมุมมองของข้าพเจ้าการใส่เครื่องแบบยังมีข้อดีอยู่  ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร และหลายเหตุผลที่


        ข้าพเจ้าคิดว่ามันเป็นข้อดีของการใส่เครื่องแบบในวัยเรียน หรืออุดมศึกษาคือ


                1. ประหยัด  ไม่ต้องเสียเวลาเลือกเครื่องแต่งตัว เครื่องประดับมากมาย ยิ่งผู้หญิงที่พิถีพิถันเรื่องการแต่งตัวกว่าจะเลือกกางเกง กระโปร่งที่แมทกะเสื้อแล้ว  ยังต้องมีเครื่องประดับ สร้อยเข้าชุด ร้องเท้าเข้าชุด เลือกสีแมท แฟชั่น มาเต็ม   ถ้าเป็นชุกนักศึกษา อย่างมากคุณก็เลือกได้แค่ว่า วันนี้กระโปร่งสั้นกระโปร่งยาว พีช หรือว่าเอ ดีดว่ากัน


                 2. บ่งบอกหน้าที่ การสวมใส่เครื่องแบบทำให้เรารู้ว่า หน้าที่ของเราในตอนนั้นควรทำอะไร อะไรเหมาะสมไม่เหมาะสม  สำหรับผู้ที่แยกแยะได้แล้วนี้ไม่ใช้เรื่องสำคัญอะไรนัก แต่สำหรับที่แยกแยะไม่ได้ เครื่องแบบจะเป็นสัญลักษณืเตือนใจเราว่า เราเป็นนักศึกษานะ ตอนนี้ที่ต้องทำคือตั้งใจเรียน ทำสิ่งนี้ให้ดีที่สุด

                 3.ไม่แบ่งแยกว่าใครรวยใครจน เพราะจะจนจะรวยยังไงเราก็ใส่ชุดเหมือนกัน เอ๊ะหรือว่าต่อไปอาจจะมีชุดนักเรียนนักศึกษาแบนด์ดังใส่แล้วรู้เลยว่ารวย แหม่!!!  เสื้ออย่างมากก็ไม่เกิน 250 หรอกนะ ใครซื้อมากกว่านี้ถือว่าซื้อแพง 5555   เครื่องแบบไม่บ่งบอกฐานะจริงๆเชื่อเลย เพราะจนป่านเพื่อนที่เรียนจบมาด้วยกัน ก็ยังไม่รู้เลยว่ามันแกล้งจนหรือว่าจนจริง ยืมตังค์จัง 55


                  4.ความภาคภูมิใจ คนที่ไม่มีโอกาสเหมือนเราเยอะแยะขนาดไหน ประเทศไทยถึงได้อันดับหลังๆของการศึกษาไทยรู้มั้ย อุ๊บส์ !!!  ไม่เอาไม่ดราม่านะ   ครั้งหนึ่งเราก็เคยคิดว่า ทำไมต้องใส่ชุดนักเรียน นักศึกษามาเรียนทุกครั้งเลยนะ ขี้เกียจรีดจัง (ส่วนตัวล้วนๆ )  แต่พอวันหนึ่งที่เราจะเรียนจบ เรากลับอยากจะใส่มันอีก (จะบ้าป่ะเนี่ย ) 

                  อีกอย่าง การใส่เครื่องแบบทำให้เรารู้ว่า เฮ้ย ไอ้นี้ันเด็กกว่าเรานะ 555  เดี๋ยวนี้เดินไปไหนมาไหนเริ่มไม่แน่ใจว่าต้องเรียกพี่หรือน้องดี เอาละเท่าที่พร่ำมาก็แค่อยากจะกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง  อิอิ
        ทุกอย่างขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละบุคคลนะจ๊ะ